ไม่มีใครจับตามอง ไรอัน กราเฟนแบร์ก มาก่อนเลย..

ไม่แม้กระทั่งแฟนบอลของลิเวอร์พูลเอง เพราะความสนใจพุ่งไปอยู่ที่ตลาดนักเตะกันหมด

มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทุกตลาดซื้อขายแฟนบอลย่อมคาดหวังว่าทีมจะลงตลาดจับจ่ายนักเตะใหม่มาเสริมทีมอยู่แล้ว ยิ่งผลงานของกองกลางชาวดัตช์เมื่อฤดูกาลก่อนก็ไม่ได้มีความโดดเด่นเตะตาด้วย

ฉะนั้นเมื่อสร้างผลงานยอดเยี่ยมตลอด 3 เกมแรกของฤดูกาล 2024/25 กราเฟนแบร์กจึงเปรียบเสมือนนักเตะใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเขย่าวงการฟุตบอลอังกฤษ ให้อารมณ์คล้ายกับว่าลิเวอร์พูลไปได้กองกลางคนใหม่ค่าตัวสัก 60-70 ล้านปอนด์มาจากที่ไหนสักที่

ผลงานของกราเฟนแบร์กใน 3 เกมที่ผ่านมาทั้งกับ อิปสวิช ทาวน์ เบรนท์ฟอร์ด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมมาก จากสไตล์การเล่นที่ลงตัวกับวิธีการของลิเวอร์พูล

กราเฟนแบร์กทำหน้าที่ของเขาได้ดี เยือกเย็น รับมือกับสถานการณ์บีบคั้นได้ดี ครองบอลเหนียวแน่น แย่งบอลได้ ช่วยเกมรับดี ระแวดระวัง อ่านสถานการณ์เก่ง ผ่านบอลดี พาบอลขึ้นหน้าเองได้ กล้าบุกตะลุยเมื่อพื้นที่เปิดให้ ทั้งยังเคลื่อนที่ได้เป็นประโยชน์ยามไม่มีบอล

เป็นคนที่เข้าปะทะมากที่สุดในทีม (8 ครั้ง) ตัดบอลได้มากกว่าใครในทีม (7 ครั้ง) ชนะการดวลตัวต่อตัวไม่ว่ารับหรือรุกมากกว่าทุกคนในทีม (15 ครั้ง) ผ่านบอลมากเป็นอันดับสองของทีม (176 ครั้ง)

ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โดดเด่นมาก กราเฟนแบร์กตัดบอลได้ 4 ครั้ง มากกว่าใครในสนาม เอาชนะการดวลตัวต่อตัว 7 ครั้ง แย่งบอลกลับมาครองได้อีก 6 ครั้ง ไม่ถูกเลี้ยงผ่านเลยและยังเรียกฟาวล์ได้อีก 3 หน

สถิติที่เป็นตัวเลขยิ่งชัดเจนสอดคล้องกับความตื่นตัวและการเล่นอันตื่นตาตื่นใจที่เราได้เห็นในสนาม

ในยุค อาร์เน่อ ชล็อต ทีมหงส์แดงปรับเปลี่ยนการเล่นไปจากเดิม รูปแบบการยืนปรับจาก 4-3-3 เป็น 4-2-3-1 มีคู่กองกลางยืนร่วมกัน ช่วยกันรักษาพื้นที่รับผิดชอบ

ไม่จำเป็นต้องมีกองกลางตัวรับหนัก ๆ ที่เป็นหมายเลข 6 โดยสัญชาตญาณ หากแต่เป็นหมายเลข 6 อีกแบบหนึ่งที่นอกจากจะมีทักษะเกมรับติดตัวแล้วยังมีความหลากหลายเอาตัวรอดเก่ง สร้างเกมได้ ผ่านบอลได้ พาบอลขึ้นหน้าได้ พลิกหนีพื้นที่แออัดเปิดแนวรุกให้ทีมได้

สไตล์ของ กราเฟนแบร์ก เป็นแบบนั้นมาแต่แรก มันสอดคล้องเหมาะเจาะพอดีกับแนวทางที่ ชล็อต ต้องการ ไม่แปลกหรอกถ้ากุนซือชาวดัตช์จะเห็นมันในการฝึกซ้อมและมองว่านักเตะคนนี้เหมาะสมกับระบบของเขา

มันเป็นสิ่งที่เราแฟนบอลไม่ได้เห็น จึงอาจจะยังยึดติดกับภาพเดิม ๆ จากฤดูกาลที่แล้วที่อดีตกองกลางอาแจ๊กซ์ไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่น เราเองก็อาจลืมไปว่านักฟุตบอลทุกคนย่อมมีพัฒนาการ ไม่มีใครอยากจะหยุดอยู่กับที่ พยายามขัดเกลาจุดอ่อนต่อเติมจุดแข็งให้เก่งขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนโค้ชที่อาจมีสไตล์การทำทีมเข้ากัน

แล้วกราเฟนแบร์กก็ตอบสนองรูปแบบการเล่นของชล็อตจนพุ่งขึ้นมาเป็นตัวเลือกลำดับแรก ๆ ในตำแหน่งกองกลางร่วมกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบซไล กลายเป็นแดนกลางที่ทรงพลังอย่างที่เห็น

กระนั้นในทุกครั้งที่ อาร์เน่อ ชล็อต ให้สัมภาษณ์ เขาจะไม่ลืมพูดถึงการเล่นร่วมกันเป็นทีมของนักเตะทุกแดน การที่กองกลางของทีมทั้ง 3 คนโดดเด่น แน่นทั้งเกมรับ ชัดทั้งการรุกได้นั้นก็มาจากการช่วยสนับสนุนของกองหน้าและกองหลังด้วย เติมขึ้นไปแล้วลงไม่ทันก็มี อิบู โกนาเต้ กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ขยับขึ้นมารักษาพื้นที่ชะลอเกมให้ ถอยลงมาแล้วขึ้นไม่ทันก็มีตัวรุกถอนตัวลงมาช่วยรับบอลเอาไปทำให้

ลิเวอร์พูลของชล็อตไหลลื่นด้วยการรักษาระยะระหว่างแดนได้อย่างสมดุลด้วย นอกเหนือไปจากความโดดเด่นเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคน

การเริ่มต้นที่สวยงามแบบนี้ทำให้ความกดดันที่มีทั้งต่อทีม ต่อโค้ช และต่อตัวกราเฟนแบร์กเองลดลงไป เพราะลิเวอร์พูลถูกวิจารณ์หนักถึงการไม่ได้กองกลางมาเสริมทีมเลยตลอดตลาดซื้อขายนักเตะหน้าร้อน

แน่นอนครับ ถึงตรงนี้ก็ยังมีแฟนบอลที่เป็นกังวลอยู่ว่าถ้ามีปัญหาบาดเจ็บเกิดขึ้นกับตัวหลักแล้วทีมจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ในเมื่อ ชล็อต มองว่าขุมกำลังในแดนกลางที่ยังมี ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, เคอร์ติส โจนส์, วาตารุ เอนโด และ เทรย์ นีโอนี่ นั้นมีคุณภาพเพียงพอก็ต้องรอดูกันว่าบรรดาตัวสำรองของทีมนั้นจะยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาได้แค่ไหนในมือของเขา

แม้กระทั่งรายของเอนโดที่บางคนมองว่าจบแล้ว ด้วยอายุและสไตล์การเล่นที่ดูจะไม่เข้ากับระบบของชล็อต แฟนบอลบางส่วนก็บอกว่าอย่าเพิ่งด่วนตัดสินเขา การปรับตัวให้เข้ากับวิธีการเล่นของโค้ชใหม่เป็นเรื่องธรรมดาของนักฟุตบอล เป็นกำลังใจให้เขาดีกว่า

การโผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของกราเฟนแบร์กเป็นเหมือนการค้นพบแห่งซีซั่น ทั้งที่อันที่จริงเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนักจากการเล่นเมื่อฤดูกาลก่อน บอลแรกได้เปรียบ พลิกขึ้นหน้าดี มีเซนส์เกมรุก

มันก็สไตล์เดิมของมิดฟิลด์วัย 22 ปีที่มีทักษะที่ดีในเรื่องนี้ มันติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเล่นให้ทีมเยาวชนของ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่โดดเด่นถึงขั้นเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการจับตามอง ก่อนที่จะได้ประเดิมสนามให้ทีมชุดใหญ่ของอาแจ๊กซ์ตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 17 ปีในเวลาต่อมา

เพียงแต่การที่คุณจะยึดตัวจริงในทีมของใครสักคนได้นั้นมันยังต้องมีอะไรอย่างอื่นอีก การหมุนพลิกตัวเยี่ยมบอลแรกได้เปรียบของกราฟอาจจะยังไม่พอ เพราะฟุตบอลของคล็อปป์เรียกร้องคุณสมบัติข้ออื่น ๆ จากเขามากกว่า แค่นั้นเอง

โค้ชปรับ สไตล์ก็เปลี่ยน แนวทางก็ย่อมไม่เหมือนกันทั้งหมด มีทั้งที่สานต่อได้เลย มีทั้งที่ต้องขัดเกลา มีทั้งที่ต้องปรับปรุง ชล็อตมองเห็นสไตล์ของกราเฟนแบร์กว่าเหมาะกับฟุตบอลของเขา เป็นเบอร์ 6 ที่เขาต้องการ ก่อนเปิดฤดูกาลเขาจึงเรียกกราเฟนแบร์กไปคุยว่าฤดูกาลนี้เอ็งไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องอื่น จงโฟกัสกับบทบาทหมายเลข 6 กับหมายเลข 8 ที่ทีมจะให้เล่นแค่นั้น

มีสมาธิ มุ่งมั่น และทำให้เต็มที่ ผมจะใช้คุณใน 2 ตำแหน่งนี้ คุณต้องพร้อมและพัฒนาคุณสมบัติในการเล่น 2 ตำแหน่งนี้ให้ไปได้ไกลที่สุด

สามเกมผ่านไป กราเฟนแบร์กทำให้เห็นว่าเขาทำได้

เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าคล็อปป์มองไม่เห็นฝีเท้าของกราเฟนแบร์กหรือใช้งานไม่เป็นอย่างที่แฟนบอลบางคนเริ่มตราหน้าคล็อปป์กันแล้ว ตรงกันข้ามเลยเพราะเขาเห็นต่างหาก กราเฟนแบร์กจึงยังไม่ได้เป็นตัวจริงในทีมของเขา

ทีมฟุตบอลจะเปลี่ยนทั้งระบบเพื่อนักเตะคนเดียวไม่ได้หรอก ฟุตบอลของคล็อปป์เล่นในระบบเบอร์ 6 คนเดียว กราฟจึงยังไม่ตอบโจทย์ของคล็อปป์ ณ เวลานั้นด้วยปัจจัยหลายอย่าง กระดูกยังไม่แข็งพอ ความเข้าใจระบบยังน้อย อาการบาดเจ็บที่รบกวน หรือกระทั่งฟอร์มของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นที่ตอบโจทย์ฟุตบอลของเขาได้ดีกว่า

ชล็อตเข้ามาสานต่อสิ่งที่มีอยู่ ย่อมศึกษาจุดดีจุดด้อยของมรดกที่เขาได้รับมาและนำแนวทางของตัวเองทาบลงไปในทีม ขยับจุดนู้นปรับจุดนี้ น้อยบ้างมากบ้าง และกราเฟนแบร์กคือคนที่เขามองเห็นว่าถ้าถอยมายืนต่ำในบทบาทหมายเลข 6 คู่น่าจะลงตัว เพราะกองกลางคู่ของเขาควรมีสไตล์และคุณสมบัติแบบนี้

ในสไตล์การเล่นของชล็อต ลิเวอร์พูลเล่นช้าลงในการต่อบอลจากแดนหลัง เพิ่มความแน่นอนให้มากขึ้น และจังหวะทำก็พร้อมทำอย่างรวดเร็ว

หนึ่งในอาวุธที่เล่นงานคู่แข่งจนรับมือไม่ทันคือการผ่านบอลทะลุช่องขึ้นมาตรง ๆ ของกราเฟนแบร์ก นั่นคือประสิทธิภาพที่ชล็อตมองเห็น

กราเฟนแบร์กคือกองกลางหมายเลข 6 ยุคปัจจุบัน คือนอกจากมีเซนส์เกมรับที่ดี ร่างกายแข็งแกร่ง ตัดบอลได้ แย่งบอลได้แล้ว ยังมีมิติในเกมรุกเพิ่มเข้ามาด้วยคือสร้างเกมเองได้ เลี้ยงบอลทะลุขึ้นหน้าได้ ส่งบอลได้ทั้งสั้นและยาว

การเล่นของกราเฟนแบร์กสามารถกินตัวคู่ต่อสู้ได้ 1-2 คนหรือ 2-3 คนได้จากการพลิกบอลทีเดียวหรือผ่านบอลแค่ครั้งเดียว เราได้เห็นหลายครั้งที่เขาหันหลังให้คู่ต่อสู้เพื่อรับบอลจากกองหลังไม่ว่าจะเป็น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หรือ อิบู โกนาเต้ แต่เมื่อบอลมาถึงตัวก็ปล่อยให้ไหลผ่านแล้วค่อยพลิกตัวตามไปเล่น

จังหวะพลิกแบบนี้ตัดคู่แข่งได้รวดเดียว 1-2 คน

หรือบางครั้งเขารับบอลจากกองหลัง หันหน้ามาหาคู่ต่อสู้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ๊กซ้ายขยับขึ้นมารอบอล แต่กราเฟนแบร์กเลือกแทงทะลุขึ้นไปตรง ๆ พรวดเดียวถึง แม็คอัลลิสเตอร์ ที่ยืนอยู่ในแดนตรงข้าม ได้ระยะมาทีเดียว 15-20 หลา พร้อมการหลุดตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามอีก 3 คน

นี่คือคุณสมบัติที่กราเฟนแบร์กเสริมให้เกมรุกของลิเวอร์พูลดูน่ากลัวขึ้น เพราะมิติการเล่นเพิ่มมากขึ้นจากคนที่เป็นกองกลางตัวรับทั่ว ๆ ไปที่ทำหน้าที่ไล่ตัดเกมแล้วส่งบอลให้เพื่อนเอาไปทำต่อ

สกายสปอร์ตส์นำเอาสถิติส่วนตัวของกราเฟนแบร์กเมื่อฤดูกาลที่แล้วกับฤดูกาลนี้มาเปรียบเทียบกัน มันคาดเดาได้ไม่ยากหรอกครับว่าตัวเลขของฤดูกาลไหนจะดีกว่า เพราะตำแหน่งการยืนของเขาที่ต่ำกว่าเดิม การผ่านบอลจึงมีโอกาสเสียหรือถูกแย่งยากกว่าเดิม และก็ยังได้บอลมากกว่าเดิม

กราเฟนแบร์กได้บอลเฉลี่ยต่อเกมในฤดูกาลนี้ 81 ครั้ง มากกว่าฤดูกาลที่แล้ว (60.1 ครั้ง) ร่วม 20 ครั้ง

การผ่านบอลก็มากกว่าในระดับ 67.9 ครั้ง ต่อ 39.6 ครั้ง บอลไปถึงเป้าหมายก็แม่นยำกว่าเดิม 90.4 % กับ 83.4 %

เข้าปะทะมากขึ้น 3 ครั้งต่อ 2.1 ครั้ง และตัดบอลมากขึ้น 1.5 ครั้งต่อ 1.1 ครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้นการขยับตัวเป็นทางเลือกให้เพื่อนเวลาที่ตัวเองไม่มีบอลก็ยังเป็นจุดเด่นของกราเฟนแบร์กด้วย อาร์เน่อ ชล็อต ยังยอมรับว่ารู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นคุณสมบัติด้าน Off the ball ของกราฟตอนซ้อม

ไรอัน กราเฟนแบร์ก เหมือนการค้นพบใหม่ของลิเวอร์พูล คล้ายเราล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเจอลอตเตอรี่ถูกรางวัลที่ลืมตรวจมา 3 เดือน

ของดีที่มีอยู่แล้ว สามารถนำกลับมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ไม่ต่างอะไรกับการได้ของใหม่เหมือนกัน แถมยังน่าภูมิใจอีกต่างหาก..

หน้าแรก


สล็อต365 UFA365 แทงบอล365
UFA365 UFA DIAMOND สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢ https://ufadiamond.ibetauto.com/ufadiamond/ufabet/register
สอบถามเพิ่มเติม 🆔 𝙇𝙄𝙉𝙀 : https://lin.ee/QJ7cl29